วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556






ชาวหนองแข้สุดจะทน ปักดำข้าวกลางถนนเข้าหมู่บ้าน
วานนี้ (26 มิ.ย.) ที่ทางสาธารณะเข้าบ้านหนองแข้ หมู่ที่ 5 ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ชาวบ้านหนองแข้ต่างนำเอาต้นข้าวมาปักดำบนถนนสายบ้านหนองแข้-บ้านโคก ระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเข้าตัวอำเภอโคกศรีสุพรรณ ซึ่งสภาพพังเสียหายเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดสาย สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน
       
       อีกทั้งในช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝน ทำให้สภาพถนนที่เสียหายอยู่แล้วต้องเป็นหลุมลึกขยายกว้างมากขึ้น ซึ่งการนำเอาต้นข้าวมาปักดำบนถนนกลุ่มชาวบ้านต้องการสื่อไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขเป็นการด่วน เนื่องจากว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง
       

       ทั้งนี้ ชาวบ้านหนองแข้รายหนึ่งกล่าวว่า ชาวบ้านต้องทนกับถนนสายนี้มาทุกปี เพราะต้องขนถ่ายสินค้าการเกษตรออกไปขายต่อในตัวเมือง และซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมาขายภายในหมู่บ้าน ทำให้สินค้าเกิดการบอบช้ำเสียหาย แต่ก็จำเป็นต้องใช้ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบมาเร่งแก้ไขถนนเส้นนี้ด้วย
       
       สำหรับหมู่บ้านหนองแข้อยู่ในพื้นที่อำเภอโคกศรีสุพรรณ อยู่ห่างตัวอำเภอเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น ถนนสายดังกล่าวเป็นเส้นทางที่มีผู้สัญจรค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นทางลัดเชื่อมต่อระหว่าง อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร และ อ.วังยาง จ.นครพนมอีกด้วย












ที่มา:manageronline 

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556





นครพนม - เผากัญชาล็อตใหญ่ 11 ตัน บรรทุกรถหกล้อตำรวจ 4 คันลำเลียงสู่เตาเผา ผู้การไอเดียเจ๋งออกแบบเตารุ่นใหม่ เผาเกลี้ยงไม่เหลือซาก ฉีกแนวเผาแบบเดิมๆ
       
       เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (25 มิ.ย.) ที่สนามกีฬากลางจังหวัดนครพนม นายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเผาทำลายยาเสพติด เนื่องในวันยาเสพติดโลก โดยเป็นกัญชา 11 ตัน บรรทุกรถหกล้อตำรวจที่ใช้บรรทุกผู้ต้องขัง 4 คันลำเลียงสู่เตาเผา โดยการเผากัญชาครั้งนี้มีขบวนแห่รณรงค์ต่อต้านยาเสพติดของตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ตลอดจนประชาชนมาร่วมพิธีด้วย
       
       จากรายงานของตำรวจระบุว่า ปีที่ผ่านมามีการจับกุมคดียาเสพติดกว่า 3,000 ราย กัญชาของกลางกว่า 3,000 ตัน แต่ในวันจะเผาเฉพาะส่วนที่คดีถึงที่สุดแล้ว โดยการเผาครั้งนี้จะใช้เตาเผารุ่นใหม่ฉีกแนวพิธีเผากัญชาแบบเดิม คือ เทกองแล้วเทน้ำมันราด ก่อนประธานจะจุดไฟเผา แต่เตาเผารุ่นใหม่ใช้ท่อน้ำ 3-4 ท่อ ใช้น้ำเล็กน้อยเป็นหัวเชื้อไฟจุดฟืนให้เผากัญชาชนิดแบบไม่เหลือซาก
       
       พ.ต.ท.มานะ ธัญญะวะนิช รอง ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครพนม ผู้ควบคุมการเผากัญชา กล่าวถึงที่มาของเตาเผากัญชารุ่นใหม่ว่า เป็นแนวคิดของ พล.ต.ต.ชูรัตน์ ปานเหง้า ผบก.ภ.จว.นครพนม ที่มีประสบการณ์ในการเผากัญชาแบบเดิม แต่การเผาไหม้ไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากขาดอากาศถ่ายเท จึงได้ให้ตำรวจทดลองทำเตาเผาแบบง่ายๆ ทดลองใช้ก่อนจะมาเผาจริง คือใช้ท่อซีเมนต์ 3 ท่อ รองด้วยอิฐบล็อก วางตะแกรงเหล็กชั้นล่างใต้ท่อ โดยท่อแรกจะใช้อิฐรองให้เป็นช่อง ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และมีเศษกัญชาจำนวนหนึ่งรองพื้น ราดน้ำมันให้ไฟติดไว แล้วนำกัญชาเทลงไปเกือบเต็มปากท่อ แล้วใช้ไฟจุดด้านล่าง เมื่อไฟไหม้ฟืนก็ลุกโหมไหม้กัญชาทั้งหมดไม่เหลือซาก















ที่มา:Manageronline

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556





ตำรวจแถลงจับกุม เดช โสวาปี โจรปล้นฆ่าคนขับรถบรรทุกชิงเบียร์ลีโอ เผยทำเป็นตีซี้แล้วขอติดรถกลับบ้านด้วย อาศัยจังหวะเอาไม้ตีหัวจนสลบ ขณะคนบงการบอกให้เอาหินซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าตาย จากนั้นนำเบียร์ไปขายต่อลังละ 250 ได้เงินราว 630,000 บาท

           จากเหตุการณ์ที่ "นายเดช โสวาปี" อายุ 28 ปี ร่วมกับพวกก่อเหตุปล้นฆ่า "นายสมควร ลาหมัน" อายุ 39 ปี พนักงานขับรถขนเบียร์ลีโอ และนำศพไปโยนทิ้งไว้ในไร่มันสำปะหลัง ท้องที่ สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ก่อนนำรถบรรทุกเบียร์ไปจอดทิ้งไว้ที่ อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ส่วนเบียร์ที่ปล้นมาได้นั้น ก็นำไปขายในตลาดมืด รวม 2,520 ลัง รวมมูลค่า 1.1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา ส่วนนายเดช เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้แล้ว ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

           ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (24 มิถุนายน 2556) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ได้รวมกันแถลงข่าวจับกุมนายเดช โสวาปี และคนร้ายที่เพิ่งถูกจับกุมได้อีก 1 คน คือ นายโชคชัย ยังเลิศ อายุ 37 ปี พร้อมของกลางเป็นรถกระบะยี่ห้อเชฟโรเล็ต, รถเทรลเลอร์ 22 ล้อ, เบียร์ลีโอจำนวนมาก, เชือกรัดแขนผู้ตาย, ถุงมือ 1 ข้าง, ก้อนหินขนาดใหญ่ 1 ก้อน, กล่องเก็บข้อมูล จีพีเอสในรถยนต์เทรลเลอร์ และกระติกน้ำ 1 ใบ

           ทั้งนี้ จากการสอบสวน นายเดช ให้การว่า ตนเคยทำงานขับรถเทรลเลอร์มาก่อน และได้รู้จักกับนายโชคชัย ซึ่งทำงานขับรถบรรทุกขนส่งเบียร์ดังกล่าว นายโชคชัยจึงชักชวนตนให้ปล้นรถขนเบียร์ โดยนายโชคชัยบอกว่า ถ้าทำงานสำเร็จจะเอาเงินที่ขายเบียร์ได้ให้ตนทั้งหมด ส่วนเบียร์นั้นจะมีเฮีย ก. ตนไม่ทราบชื่อจริง นามสกุลจริง มารับซื้อไปทั้งหมด ส่วนตนตอนนั้นอยากได้เงินมากเลยยอมทำงานนี้

           นายเดช กล่าวต่อว่า นายโชคชัยให้ตนไปตีสนิทกับนายสมควรจนสนิทกัน จนกระทั่งวันเกิดเหตุ (11 มิถุนายน) นายสมควรจะต้องขับรถบรรทุกเบียร์ไปส่งลูกค้าที่ จ.สกลนคร ตนจึงขอติดรถไปด้วย และขณะนั่งในรถตนก็ได้ชวนนายสมควรจอดรถข้างทาง ที่ ถ.มิตรภาพ ในพื้นที่ อ.น้ำพอง ต่อจากนั้นก็ชักชวนให้นายสมควรเสพยาบ้า และเมื่อเสพยาบ้าเสร็จแล้ว นายสมควรก็ขอตัวไปปัสสาวะ ตนจึงอาศัยจังหวะนั้นใช้ท่อนไม้ตีนายสมควรจนสลบ และขับเอารถบรรทุกเบียร์ขับย้อนกลับไปในเมืองขอนแก่น พร้อมติดต่อนายโชคชัยว่าตนทำงานสำเร็จแล้ว จากนั้นนายโชคก็ให้ตนขับรถเอาเบียร์ไปขายให้เฮีย ก. ที่โกดังเก็บสินค้าแห่งหนึ่ง ในราคาลังละ 250 บาท

           นอกจากนี้ นายเดช ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่ได้ตั้งใจฆ่านายสมควร และไม่รู้ว่าเป็นคนพิการ แค่ต้องการใช้ไม้ตีให้สลบเท่านั้น แต่นายโชคชัยกลับบอกว่าให้เอาหินทุบซ้ำจนตาย ตนทำทุกอย่างเพราะนายโชคชัยสั่งการ ส่วนเงินที่ได้จากการขายเบียร์ ลังละ 250 บาท รวมเป็นเงิน 630,000 บาทนั้น ตนได้แบ่งให้นายโชคชัย  80,000 บาท ใช้หนี้ป้า 30,000  บาท ให้ญาติ 3 ราย รวม 150,000 บาท ซื้อสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น โอนให้หญิงสาว 2 คน ๆ ละ 40,000 บาท ส่วนที่เหลือเอาไปเล่นการพนันที่ อ.วังน้อย จนหมด ต่อจากนั้น เมื่อตนเงินหมดก็เลยกลับไปหาลูกเมียแต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ในที่สุด

           ขณะที่ บรรดาญาติพี่น้องของ นายสมควร ผู้ตาย เมื่อเห็นหน้านายเดชก็ได้ตะโกนสาปแช่ง และจะเข้าไปรุมทำร้าย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบนำตัวนายเดชขึ้นรถไปก่อน ส่วนด้าน "นายโชคชัย" ผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งที่เป็นคนวางแผนและสั่งการนั้น ก่อนหน้านี้ได้ไปก่อเหตุเกี่ยวกับทรัพย์ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และถูกจับได้ จึงติดคุกอยู่ที่เรือนจำประจำจังหวัดแล้ว ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ทำหนังสืออายัดตัว ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่นที่ จ.230/2556 แล้ว

           นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการจับกุมคนที่รับซื้อทั้งหมด ซึ่งเบื้องต้นทราบแล้วว่ามี 5 คน โดยบุคคลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักธุรกิจค้าส่งสินค้าในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังตามตัวมาสอบสวน หากสอบสวนพบว่าทำผิดกฎหมาย ก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหารับของโจร















ที่มา:กระปุกดอทคอม

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556



ขอนแก่น - ตำรวจภูธรเมืองขอนแก่นออกหมายจับผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุฆ่าคนขับรถบรรทุกเบียร์ ก่อนนำเบียร์ไปจำหน่ายให้นายทุนในพื้นที่ ขณะที่ตำรวจตามยึดของกลางมาได้แล้วกว่า 120 ลัง 
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองขอนแก่นได้ลำเลียงเบียร์ลีโอจำนวน 56 ลังลงจากรถยนต์ หลังได้เข้าตรวจและยึดได้จากร้านค้าแห่งหนึ่งภายในบ้านกุดกว้าง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น หลังสืบทราบว่าเบียร์ดังกล่าวเป็นเบียร์ที่คนร้ายร่วมกันลักมาจากรถบรรทุกเบียร์ โดยบางลังมีร่องรอยการกรีดเอาเลข 249 ที่ปั๊มข้างลังออกเพื่อไม่ให้สืบทราบว่าเป็นเบียร์ที่ถูกโจรกรรมมา
       
       ขณะที่ตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดขอนแก่นเข้าตรวจยึดเบียร์อีก 67 ลัง จากร้านค้าบ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นมาตรวจสอบ โดยเบียร์ที่ยึดได้ในครั้งนี้มาจากการสอบปากคำ นายเดช โสภา หนึ่งในผู้ต้องหาว่าได้นำเบียร์มาขายต่อให้เจ้าของศูนย์กระจายสินค้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บ้านพระลับ ถนนทางเลี่ยงเมือง ตำบลพระลับ ซึ่งเป็นจุดที่สัญญาณ GPS หายไป จนกระทั่งสืบทราบว่ามีการกระจายเบียร์ให้แก่ลูกค้


       
       เบียร์จำนวน 2,400 ลังได้ถูกเจ้าของศูนย์กระจายสินค้าที่จังหวัดขอนแก่นนำไปไว้ที่ศูนย์กระจายสินค้าอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนเบียร์อีก 120 ลังถูกกระจายไปยังพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ขณะนี้ตำรวจได้ออกหมายจับเจ้าของศูนย์กระจายสินค้าในข้อหาลักของโจรแล้ว
       
       นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังได้ออกหมายจับนายโชคชัย ยังเลิศ อายุ 35 ปี ชาวอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งนายเดชได้ให้การซัดทอดว่าเป็นคนที่ร่วมกันฆ่านายสมควร ลาหมัน คนขับรถ และนำเบียร์ไปจำหน่ายให้เจ้าของศูนย์กระจายสินค้าในราคา 1 ล้านบาท
       
       ขณะที่นายโชคชัย หลังก่อเหตุในครั้งนี้ได้หลบหนีไปยังอำเภอแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ไปถูกจับในคดีอื่น ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดฉะเชิงเทรา
       
       อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 4 เตรียมนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวในเวลา 10.00 น. วันพรุ่งนี้ (24 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4














ที่มา:Manageronline

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556


บุรีรัมย์
 - สองชาวนาบุรีรัมย์ร่ำไห้ควายแม่พันธุ์พร้อมลูกตายวันเดียว 5 ตัวรวดหลังไปเกี่ยวหญ้าจากสุสานฝังศพมาให้กิน เผยเลี้ยงมาเกือบ 10 ปีไม่คิดขายแม้มีคนเสนอซื้อหลักแสน จนท.ปศุสัตว์รุดตรวจสอบเบื้องต้นระบุเหตุกินต้นไมยราบไร้หนามมีสารพิษ แนะชาวบ้านไม่ควรนำเนื้อควายไปรับประทาน พร้อมตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ

    
      
 วันนี้ (19 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีควายของชาวบ้านบ้านโสน ต.บ้านตะโก อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ตายโดยไม่ทราบสาเหตุวันเดียว 5 ตัวรวด จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงหมู่บ้านโสน พบ นางทองเพชร สมบังใด อายุ 59 ปี อยู่เลขที่ 68 หมู่ 2 ต.ตะโก นั่งร่ำให้ลูบคลำควายจำนวน 3 ตัว ชื่อว่า เจ้าทองดำ , ทองคำ , และเจ้าทองขาว ทั้งหมดเป็นควายเพศเมียสามแม่ลูก ตัวแม่มีอายุ 7 ปี ตัวลูกอายุ 3 ปีเศษ ซึ่งทั้ง 3 ตัวกำลังตั้งท้องได้หลายเดือนแล้ว
    
       อีกทั้งเป็นที่น่าเวทนาคือ ลูกเจ้าทองดำตัวล่าสุดที่เพิ่งคลอดได้เพียงประมาณ 6 เดือนและเหลืออยู่เพียงตัวเดียว วิ่งไปมารอบบริเวณคอกที่แม่ควายนอนตายพร้อมส่งเสียงร้องเรียกหาแม่อยู่ตลอดเวลา สร้างความเวทนาใจแก่ชาวบ้านที่มามุงดู
       
      
นอกจากนี้ยังพบควายของ นายสด สมหวังได้ อายุ 52 ปี อยู่เลขที่ 17 เพื่อบ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กัน ตายในลักษณะเดียวกันอีก 2 ตัว เป็นควายเพศเมียอายุ 8 ปี และ 6 ปี แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้าน คือ ควายที่ตายทั้ง 5 ตัว ไม่มีบาดแผลของสัตว์มีพิษกัด และไม่เคยป่วยเป็นโรค เพราะควายของ 2 ครอบครัวนี้ เจ้าของเลี้ยงดูอย่างดี และมีความผูกพันเพราะเลี้ยงมาเกือบ 10 ปีไม่เคยคิดจะขาย
 ถึงแม้จะมีพ่อค้ามาเสนอราคาให้ถึงหลักแสนบาทก็ตาม


       นางทองเพชร สมบังใด บอกว่า ครอบครัวมีควายที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด 4 ตัว โดยควายตัวแม่และลูกอีก 2 ตัวที่ตาย กำลังตั้งท้องจึงเป็นความหวังของครอบครัว เพราะตั้งใจว่าหากตกลูกออกมาจะขายเพื่อใช้หนี้ แต่กลับมาตายยกคอก ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะก่อนหน้านี้นางทองเพชร
       พร้อมเพื่อนบ้านรวม 3 คน ได้ไปเกี่ยวหญ้าที่สุสานฝังศพหรือป่าช้าจีนในเขตตัวเมืองบุรีรัมย์ มาให้ควายกิน เพราะเป็นฤดูทำนาไม่มีสถานที่ปล่อยให้ควายกินหญ้าเหมือนกับหน้าแล้ง
       
       แต่หลังจากนำหญ้ามาให้ควายกินก็พบว่าควายของตน และของนายสด ตายวันเดียวกัน 5 ตัวรวด จึงได้แจ้งผู้ใหญ่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ ซึ่งเหตุการณ์ที่ควายล้มตายครั้งนี้ทำให้ครอบครัวแทบหมดตัว จึงทำให้เพียงชำแหละเนื้อความที่ตายแล้วแบ่งกันไปทำอาหารรับประทาน
       
       ต่อมาหลังได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อำเภอห้วยราช ได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบสาเหตุการตายของควายทั้ง 5 ตัว จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบบาดแผลจากสัตว์มีพิษกัด และไม่ได้ติดเชื้อโรคระบาด จึงคาดว่าน่าจะเกิดจากการที่ควายกินต้นไมยราบไร้หนาม ที่มีสารไนเตรด และสารไซยาไน ปนเปื้อนซึ่งเป็นพืชที่ห้ามสัตว์กินโดยเฉพาะวัวควาย หากกินเข้าไปในปริมาณมากหรือกินต้นแก่สารพิษจากต้นไมยราบดังกล่าวจะเข้าไปทำลายตับ ไต ทั้งยังเกิดกรดแก๊สในกระเพาะอาหาร จึงเป็นสาเหตุทำให้ควายล้มตายดังกล่าว

       ทางด้านนายพจน์ภิรัตน์ เนียมจุ้ย ปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แนะนำไม่ให้ชาวบ้านนำเนื้อความที่ตายไปรับประทาน หรือจะรับประทานก็ควรทำให้สุกเพื่อให้อุณหภูมิความร้อนทำลายสารพิษที่อาจปนเปื้อนในเนื้อควายดังกล่าว อย่างไรก็ตามได้ให้เจ้าหน้าที่ตัดชิ้นเนื้อควายที่ตายส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาสาเหตุการตายของควายที่แน่ชัดอีกครั้ง
       

       พร้อมทั้งจะได้ลงพื้นที่แนะนำให้ความรู้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัว ควาย ถึงพืชต้องห้ามที่ไม่ควรนำมาให้สัตว์เลี้ยงกิน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวซ้ำอีก

ที่มา: Manageronline


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556



ศรีสะเกษ - เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษฝ่ายธรรมยุต ชี้ภาพหลวงปู่เณรคำนอนอยู่กับสีกายังไม่ชัดเจนว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ ต้องรอพระเถระชั้นผู้ใหญ่แต่งตั้งพระอธิกรณ์สอบสวนข้อเท็จจริงก่อน
       
       เมื่อเวลา 15.45 น. วันนี้ (18 มิ.ย.) พระครูสุจิณวรธรรม เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต เปิดเผยถึงกรณีที่มีภาพบุคคลหน้าตาคล้ายหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ นอนอยู่กับสีกา และมีการเผยแพร่อยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กขณะนี้ว่า “อาตมายังไม่เห็นภาพดังกล่าวว่าพระที่อยู่ในภาพเป็นผู้ใดกันแน่ ซึ่งในการดำเนินการทางคณะสงฆ์นั้นหากมีเรื่องเช่นนี้ พระเถระชั้นผู้ใหญ่จะต้องแต่งตั้งพระอธิกรณ์ขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงว่าความจริงเป็นอย่างไร
       
       โดยต้องเรียกพระที่คาดว่าอยู่ในภาพมาสอบถามว่ายอมรับหรือไม่ หากไม่ยอมรับก็ต้องนำเอาพยานหลักฐานมาชี้แจงให้คณะพระอธิกรณ์ได้ทราบ เนื่องจากทุกวันนี้อาจมีการตัดต่อเพื่อกลั่นแกล้งกันได้ จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับพระที่ถูกกล่าวหาด้วย”
       
       พระครูสุจิณวรธรรมกล่าวว่า หากพระไปถูกต้องเนื้อตัวผู้หญิงจริงก็ไม่ใช่ว่าจะต้องขาดจากความเป็นพระเพราะไม่ใช่การเสพเมถุน จะต้องดูว่าการถูกเนื้อต้องตัวเป็นไปด้วยความกำหนัดหรือไม่ หากเป็นเพราะความกำหนัด ผิดพระวินัยอย่างชัดเจน คืออาบัติ สังฆาฑิเสส มีโทษคือต้องแสดงและอยู่ปริวาสกรรม โดยจะต้องยอมรับผิดในข้อใดข้อหนึ่งใน 13 ข้อ ซึ่งพระที่อยู่ปริวาสกรรมไม่ใช่ว่าจะต้องอาบัติทุกรูป อาจมีเหตุเกิดจากบอกกล่าวสอนยาก หรือว่าสร้างที่พักภายในวัดใหญ่โตเกินเหตุ เป็นต้น
       
       อย่างไรก็ตาม กรณีภาพดังกล่าวข้างต้นต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพระอธิกรณ์ที่ได้รับแต่งตั้งเสียก่อน เพราะการที่ผู้หญิงจะสามารถถูกเนื้อต้องตัวพระได้นั้นจะมีในกรณีที่พระสงฆ์อาพาธ และพยาบาลหรือแพทย์ที่เป็นผู้หญิงมาถูกต้องเนื้อตัวเพื่อถวายการรักษาพยาบาลพระสงฆ์อาพาธนั้นสามารถทำได้ เนื่องจากไม่ใช่เกิดจากความกำหนัด












ที่มา:Manageronline

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556





นครพนม - ชาวประมงนครพนมจับปลากระเบนน้ำโขงขนาดยักษ์หนักกว่า 200 กิโลกรัม ในรอบ 50 ปีเพิ่งจับได้ใหญ่ขนาดนี้
       
       วันนี้ (17 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายวิทนะ กรุงเกต อายุ 42 ปี นักพัฒนาการท่องเที่ยว อบต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม ว่ามีชาวบ้านจับปลาฝาหรือปลากระเบนน้ำจืดขนาดยักษ์น้ำหนักราว 200 กิโลกรัมได้ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันไปดูปลาน้ำโขงหายากขนาดยักษ์
       
       จึงได้เดินทางรุดไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ทราบว่านายไชยรัตน์ โสภา อายุ 40 ปี ชาวบ้านท่าค้อ ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม พร้อมกับเพื่อนบ้าน สามารถจับปลาฝาขนาดยักษ์หายากได้ขณะออกหาปลาลากอวนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านท่าค้อ ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม ก่อนพากันนำขึ้นมาในหมู่บ้าน
       
       จากการตรวจสอบของชาวบ้านทราบว่าเป็นปลาน้ำโขงที่เรียกว่าปลาฝา หรือปลากระเบนน้ำจืด ซึ่งมีลำตัวแบนคล้ายปลากระเบนทั่วไป มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างประมาณ 3 เมตร น้ำหนักมากประมาณ 200 กิโลเมตร หางยาวประมาณ 1 เมตร ซึ่งหลังจากจับได้ชาวบ้านได้ช่วยกันนำมาในหมู่บ้านทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างพากันไปมุงดูเพราะถือว่าเป็นปลาหายาก มีขนาดใหญ่ และไม่เคยมีใครจับได้ในรอบ 50 ปี
       
       ทั้งนี้ ชาวบ้านได้พากันชำแหละขาย แบ่งไปประกอบอาหารบางส่วน ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ปรุงเป็นเมนูเด็ดปลาน้ำโขงหายาก และเชื่อว่าเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสกินปลาฝาหายาก
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บ้านท่าค้อจะเป็นหมู่บ้านชาวประมงหาปลาในลำน้ำโขงระดับมืออาชีพ โดยชาวประมงจะตั้งซุ้มอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขงเป็นแพปลาเพื่อจับปลาแม่น้ำโขงโดยเฉพาะจับตลอดฤดูก่อนที่แม่ค้าปลาจะมารับซื้อถึงริมโขง สร้างรายได้ให้ชาวประมงที่นี่ไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000-3,000 บาท
       
       วันไหนโชดดีได้ปลาตัวใหญ่บิ๊กจัมโบ้ก็จะได้เงินนับหมื่นบาท ส่วนใหญ่ปลาที่จับได้จะเป็นปลาแข้ ปลาอีตุ ปลาคัง ปลาเคิง ปลาเพาะ ฯลฯ นานๆ ถึงจะมีข่าวให้ฮือฮาอย่างการจับปลากระเบินยักษ์เหมือนครั้งนี้
















ที่มา:Manageronline

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หนองคาย - อบต.เมืองหมี ร่วมกับ มข.วิทยาเขตหนองคาย ลงแขกดำนาตามโครงการ “ประชาอาสา ลงแขกดำนา พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน”
      


       วันนี้ (13 มิ.ย.) ที่บ้านบุ่งเล ต.เมืองหมี อ.เมือง จ.หนองคาย นายวิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เป็นประธานเปิดโครงการ “ประชาอาสา ลงแขกดำนา พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน” ที่ อบต.เมืองหมี ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย และชาวบ้านบุ่งเล ร่วมกันจัดขึ้น
       

   

       นายสมบัติ ทะแพงพันธ์ นายก อบต.เมืองหมี กล่าวว่า อบต.เมืองหมีได้ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมอาชีพ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของอาชีพการเกษตรให้ประชาชนใน พื้นที่ โดยเฉพาะเยาวชนได้ซึมซับวิถีชีวิตเกษตรกร และกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการลงแขกดำนาเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อัน ดีระหว่างชุมชน ก่อให้เกิดชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยเป็นเกราะป้องกัน

       ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมได้อีกทางหนึ่ง จึงได้จัดให้มีโครงการ “ประชาอาสา ลงแขกดำนา พัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน” ในครั้งนี้ขึ้น ซึ่งรูปแบบการดำเนินงานเน้นการส่งเสริมการเกษตรให้ยั่งยืน สานต่อประเพณีดั้งเดิม และสานสัมพันธ์ของทุกฝ่าย












ที่มา: Manageronline

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556


    ชาวบ้านอีสานแจ้งจับหนุ่มโกงเงินลงทุนขายน้ำองุ่นร่วม3ล้าน



    ชาวบ้านร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียงรวม 16 คน ขึ้นโรงพักแจ้งความเอาผิดหนุ่มใหญ่อ้างเป็นหุ้นบริษัทต่างชาติ ชักชวนลงทุนขายน้ำองุ่น รายได้-ปันผลดี จนมีคนหลงเชื่อควักเงินรวม 3 ล้านกว่าบาทร่วมหุ้น สุดท้ายอ้างปิดกิจการ จึงรู้ว่าถูกหลอกแถมโดนขู่จะฟ้องกลับ วอนตร.จับกุมโดยเร็ว และยังมีเหยื่ออีกหลายราย...

    เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. น.ส.ธัญณิชา จันทร์ส่อง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 312 / 382 ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร พร้อมด้วยนายสมเลิศ ชูชมพล อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129 หมู่ 1 ต.โพธิ์สัย อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด และชาวบ้านหลายอำเภอ ในจ.ร้อยเอ็ด  มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และยโสธร รวม 16 คน เข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.บรรเจิด ชมภูพฤกษ์ พงส.ชำนาญการพิเศษ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ว่า เมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้วนายไพโรจน์ หมื่นวัย อายุประมาณ 42 ปี บ้านอยู่ จ.ขอนแก่น อ้างว่าเคยเป็นครู และเป็นพนักงานธนาคาร ได้ชักชวนร่วมลงทุนกับบริษัทสหรัฐฯขายน้ำองุ่น ซึ่งเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพจากประเทศฝรั่งเศส มาขายในไทย ผ่านศูนย์จำหน่ายในจังหวัดต่างๆ  โดยอ้างว่าบริษัทสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ มีการประกันรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท และปันผลกำไรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 ต่อเดือน ทำให้หลงเชื่อจึงพากันร่วมหุ้นคนละไม่ต่ำกว่า 150,000 บาท โดยเฉพาะน.ส.ธัญณิชา ลงทุนเป็นเงิน 1,850,000 บาท และนายสมเลิศ ลงทุนกว่า 720,900 บาท ซึ่งรวม 16 คนเป็นเงินจำนวน 3,115,725 บาท โดยน้ำองุ่นไม่สามารถขายได้ จนบางคนต้องปิดกิจการไป 

    ต่อมาเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา นายไพโรจน์ อ้างว่าบริษัทที่ร่วมทุนปิดกิจการ จึงไปร่วมหุ้นกับบริษัทใหม่ ดังนั้นชาวบ้านที่เข้าร่วมหุ้นจึงต้องการเงินคืน แต่ได้รับคำตอบหากอยากได้เงินคืนให้ลงหุ้นกับบริษัทใหม่ โดยต้องจ่ายค่าสมัครคนละกว่า 200,000 บาท ต่อมาเห็นความผิดปกติ จึงไปตามหาบริษัทใหม่ ที่มีการกล่าวอ้างในกทม. โดยพบว่ามีอยู่จริง แต่เจ้าของบริษัทยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของนายไพโรจน์ จึงพากันมาแจ้งความดำเนินคดีกับนายไพโรจน์ ในข้อกล่าวหาฉ้อโกงทรัพย์ และยังทราบว่ามีชาวบ้านจ.บุรีรัมย์ จำนวนมากเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.บุรีรัมย์ ให้ดำเนินคดีกับนายไพโรจน์เช่นเดียวกัน  

    ด้าน นายสมเลิศ  ระบุว่าก่อนมาแจ้งความ ได้มีคนโทรศัพท์มาบอกว่า หากชาวบ้านเอาเรื่อง ขอให้ดำเนินการให้ถึงที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้นายไพโรจน์ จะแจ้งความกลับเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าแจ้งความทั้งหมด

    ส่วน นางกรัณญาพร จันทร์ส่อง อายุ 50 ปี มารดาน.ส.ธัญณิชา กล่าวว่า ขณะนี้ครอบครัวของตนเดือดร้อนมาก เพราะได้นำเอาน.ส.3 ไปจำนำ และเอาทองคำรูปพรรณไปขาย พร้อมกับเงินที่สะสมมาด้วยความยากลำบาก รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 1,250,000 บาท มอบให้ลูกสาวไปเข้าหุ้นกับนายไพโรจน์แล้วถูกฉ้อโกงไป จึงวิงวอนให้ตำรวจจับกุมนายไพโรจน์มาดำเนินคดีโดยเร็ว และยังมีชาวบ้านที่ถูกหลอกอีกหลายสิบรายที่จะมาแจ้งความเพิ่มเติม

    ขณะที่ พ.ต.ท.บรรเจิด กล่าวว่า ได้รับแจ้งความเอาไว้แล้ว ต่อจากนี้ไปตำรวจจะสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเห็นว่าผู้ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษกระทำความผิด ตำรวจจะออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป.
     
     
    ที่มา : www.thairath.co.th

    วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556



    เลย - เตือนหน้าฝนเห็ดชุก ก่อนรับประทานต้องระมัดระวัง หากกินเห็ดพิษเข้าไปอันตรายถึงชีวิต ไม่รู้จักดีห้ามรับประทาน สสจ.เผยรอบครึ่งแรกปี 56 มีชาวเลยกินเห็ดแล้วป่วยนับ 10 ราย ขณะที่ปี 55 ป่วยจากกินเห็ดพิษมากเกือบ 200 ราย ตาย 5 ราย
           
           วันนี้ (10 มิ.ย.) นพ.วิวรรธน์ ก่อวิริยกมล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เลย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีฝนตกในทุกพื้นที่ ทำให้มีเห็ดป่าออกมาวางขายในตลาด ประชาชนนิยมซื้อมารับประทาน บางครั้งขาดความระมัดระวังอาจเก็บเห็ดหรือซื้อเห็ดที่มีพิษปะปนมาด้วย เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วพิษจากเห็ดก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะที่ถนนเลย-ภูเรือ บริเวณบ้านโนนสวรรค์ บ้านสานตม อ.ภูเรือ มีชาวบ้านได้นำเห็ดมาขายริมถนนจำนวนมาก
           
           จากรายงานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึงวันที่ 7 มิถุนายน พบผู้ที่กินเห็ดแล้วป่วย 10 ราย ข้อมูลย้อนหลังปี 2555 ผู้ป่วย 197 ราย ตาย 5 ราย ดังนั้นจึงขอเตือนประชาชนอย่านำเห็ดที่ไม่รู้จัก เห็ดที่รู้จักแต่มีลักษณะผิดไปจากปกติ เห็ดที่เก็บตามป่ามารับประทานโดยเด็ดขาด
           
           นพ.วิวรรธน์กล่าวว่า ธรรมชาติของเห็ดพิษสังเกตง่ายๆ คือ ดอกเห็ดจะมีรูปร่างสวยงาม มักจะมีสีสันที่ฉูดฉาด เช่น สีส้ม สีเหลือง สีเทา สีขาว เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วอาจจะเกิดอาการขึ้นทันที หรืออาจใช้เวลาหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน บางชนิดพิษของเห็ดออกฤทธิ์ช้าได้ถึง 14 วัน ความรุนแรงของอาการแล้วแต่ชนิดของเห็ดและปริมาณที่รับประทานเข้าไป อาการเริ่มแรกคือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว บางรายอาจมึนงง เจ็บหน้าอก หน้าแดง ง่วงซึม ปากชา น้ำลายไหล ใจสั่น เป็นตะคริว อ่อนเพลีย หากพบอาการดังกล่าวให้รีบไปรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขทันที
           
           ทั้งนี้ เห็ดพิษที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ส่วนใหญ่เป็นเห็ดกลุ่มเห็ดระโงก เห็ดระโงกมีหลายสี หลายชนิด เช่น เห็ดระโงกหินหรือเห็ดไข่ตายซาก หมวกเห็ดเป็นรูปวงกลม ขอบไม่มีริ้ว ผิวด้านในของเยื่อหุ้มรูปถ้วยแนบกับโคนก้าน เมื่อบานออกมาเป็นรูปกระทะคว่ำ เห็ดระโงกหินหรือเห็ดไข่เป็ด หมวกเห็ดเป็นรูปกระทะคว่ำสีขาว ลักษณะคล้ายเห็ดตายซาก แตกต่างกันที่มีขนรุงรังที่ก้านดอก เห็ดระโงกตีนเปา พิษร้ายแรงมาก เมื่อดอกยังตูมจะแยกไม่ออกว่าเป็นเห็ดระโงกมีพิษหรือไม่เพราะเหมือนกับเห็ดระโงกที่รับประทานได้
           
           จากการที่งานควบคุมโรคสอบสวนโรคพบว่าโดยมากจะเกิดจากเห็ดเครื่อง ดังนั้นจึงห้ามเก็บเห็ดที่มีลักษณะดังนี้มารับประทาน คือ มีสีน้ำตาล มีหมวกเห็ดสีขาว มีปลอกหุ้มโคน มีวงแหวนใต้หมวก มีโคนอวบใหญ่ มีปุ่มปม เห็ดที่มีหมวกเห็ดเป็นรูแทนที่จะมีช่องคล้ายครีบปลา มีลักษณะคล้ายสมองหรืออานม้า
           
           เห็ดตูมที่มีเนื้อในสีขาว เห็ดที่ขึ้นที่มูลสัตว์หรือใกล้มูลสัตว์ เห็ดที่ขึ้นในบริเวณพื้นที่ทำการเกษตรโดยใช้สารเคมี เป็นต้น หากไม่แน่ใจอย่ากินเป็นอันขาดเพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้











    ที่มา:Manageronline

    วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556


    จา พนม แว้นหนีตาย ใน 3 ภาพใหม่จาก ‘ต้มยำกุ้ง 2 3D’

    941930_278703878941443_1915601175_n
    ส่งความอัพเดทกันมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับหนังแอ็คชั่น สายเลือดไทย ที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีกับ ต้มยำกุ้ง 2 ที่ในภาคนี้จะเข้าฉายในระบบ 3D ด้วย ซึ่งตอนนี้ตัวหนังปล่อย 3 ภาพใหม่ออกมาแล้ว และภาพที่เด็ดที่สุดคือภาพด้านบน ที่เป็นฉากที่ จาพนม ต้องแว้นหนีจากศัตรูที่มากันเป็นกองทัพ ที่ดูไปดูมาทำให้นึกถึงฉาก สามล้อ ใน องค์บาก อยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งภาคนี้ความมันส์ยังอยู่ตรงที่หนังระดมมา 3 ผู้กำกับแอ็คชั่นอย่าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ, ปรัชญา ปิ่นแก้ว และ พันนา ฤทธิไกร ซึ่งทางด้านนักแสดงนอกจาก จาพนม และ หม่ำ จ๊กม๊ก แล้ว หนังยังมี จีจ้า ญานิน และ ชูพงศ์ ช่างปรุง มาร่วมขบวนอีกด้วย ตอนนี้หนังมีกำหนดฉาย สิงหาคม นี้ครับ
    945403_278703862274778_1573247917_n
    1481_278703852274779_472458556_n


    ขอบคุณภาพข้อมูลจาก Mthai


    วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556


    ฟ้าผ่า เกิดจากอะไร และวิธีป้องกันฟ้าผ่า รับมือหน้าฝนนี้




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

              สืบเนื่องจากเหตุการณ์ "ฟ้าผ่าคน" เสียชีวิตนับสิบราย ในช่วงเวลา 1 เดือน ของการเริ่มต้นหน้าฝน รวมถึงสัตว์เลี้ยงที่ปล่อยเลี้ยงไว้ตามทุ่งนาก็ถูกฟ้าผ่าตายไปจำนวนไม่น้อย เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สร้างความสูญเสียให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังสร้างความหวาดกลัวยามฝนฟ้าคะนอง เพราะไม่อาจรู้เลยว่า เสียงฟ้าร้อง ฟ้าคำราม จะกลายเป็นฟ้าผ่าที่คร่าชีวิตเราหรือไม่ ดังนั้น มาทำความรู้จักกับ การเกิดฟ้าผ่า อันตรายจากฟ้าผ่า รวมถึงวิธีป้องกันตนเอง เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุฟ้าผ่าในช่วงหน้าฝนกันดีกว่า

              สำหรับปรากฏการณ์ฟ้าผ่า เกิดจากการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าออกจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือ เมฆคิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus) มีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่ บริเวณฐานเมฆจะสูงจากพื้นประมาณ 2 กิโลเมตร และส่วนยอดเมฆอาจสูงถึง 20 กิโลเมตร โดยภายในก้อนเมฆจะมีการไหลเวียนของกระแสอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้หยดน้ำและก้อนน้ำแข็งในเมฆเสียดสีกันจนเกิดประจุไฟฟ้า โดยพบว่าประจุบวกมักจะอยู่บริเวณยอดเมฆ ส่วนประจุลบอยู่บริเวณฐานเมฆ ซึ่งประจุลบที่ฐานเมฆอาจจะเหนี่ยวนำให้พื้นผิวของโลกที่อยู่ใต้เงาของมันมีประจุเป็นบวกด้วย

     ฟ้าผ่าแบ่งได้อย่างน้อย 4 แบบหลัก ได้แก่

     1.ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ
     2.ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังเมฆอีกก้อนหนึ่ง
     3.ฟ้าผ่าจากฐานเมฆลงสู่พื้น เรียกว่า ฟ้าผ่าแบบลบ
     4.ฟ้าผ่าจากยอดเมฆลงสู่พื้น เรียกว่า ฟ้าผ่าแบบบวก

              สำหรับฟ้าผ่าแบบลบและแบบบวกนั้นจะทำอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นดินหรือผืนน้ำ โดยฟ้าผ่าแบบลบจะผ่าลงบริเวณใต้เงาของเมฆฝนฟ้าคะนองเป็นหลัก เพราะพื้นที่ดังกล่าวถูกเหนี่ยวนำให้มีสภาพเป็นประจุบวก ส่วนฟ้าผ่าแบบบวกสามารถผ่าได้ไกลออกไปจากก้อนเมฆถึง 40 กิโลเมตร ภายในเวลา 1 วินาที โดยมักจะเกิดในช่วงท้ายของพายุฝนฟ้าคะนองคือหลังจากที่ฝนซาแล้ว



              ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์หรือเครื่องมือช่วยตรวจวัดความเสี่ยงของการเกิดฟ้าผ่า หากมีเมฆฝนฟ้าคะนองอยู่เหนือศีรษะ แล้วเส้นขนบนผิวหนังลุกขึ้นหรือเส้นผมบนศีรษะลุกตั้งขึ้น แสดงว่ากำลังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า หรือหากเกิดพายุฝนฟ้าคะนองใกล้ตัวในระยะประมาณ 16 กิโลเมตร แล้วมีฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า และได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังฟ้าแลบน้อยกว่า 30 วินาที แสดงว่าอยู่ใกล้เขตเสี่ยงฟ้าผ่า ซึ่งทุกคนจะต้องปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ดังนี้

     วิธีป้องกันฟ้าผ่า

     1. หากอยู่ในที่โล่งให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น อาคารขนาดใหญ่ แต่อย่าอยู่ใกล้ผนังอาคาร ประตู และหน้าต่าง หรือหลบในรถยนต์ที่ปิดกระจกมิดชิด แต่อย่าสัมผัสกับตัวถังรถ

     2. หากหาที่หลบไม่ได้ ให้หมอบนั่งยอง ๆ ให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด โดยนำมือทั้งสองข้างมาแนบติดกับเข่า แล้วซุกหัวเข้าไประหว่างเข่า ส่วนเท้าให้ชิดกันหรือเขย่งปลายเท้า เพื่อลดพื้นที่สัมผัสกับพื้นให้น้อยที่สุด แต่อย่านอนหมอบกับพื้น เพราะกระแสไฟฟ้าอาจวิ่งมาตามพื้น

     3. อย่ายืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้สูงและบริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้ หรืออยู่ในที่สูงและใกล้ที่สูง ที่สำคัญอย่ากางร่ม

     4. ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือกลางแจ้งในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพราะแม้โทรศัพท์มือถือจะไม่ใช่สื่อล่อฟ้า แต่ฟ้าผ่าจะเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเข้ามาในมือถือ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือมีส่วนประกอบที่เป็นแผ่นโลหะ สายอากาศและแบตเตอรี่ที่เป็นตัวล่อฟ้าจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า และยังทำให้แบตเตอรี่ลัดวงจรจนเกิดระเบิด ส่งผลให้ผู้ถูกฟ้าผ่าได้รับบาดเจ็บมากขึ้น

     5. ห้ามใช้โทรศัพท์บ้านหรือเล่นอินเทอร์เน็ตในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพราะฟ้าอาจผ่าลงมาที่เสาสัญญาณหรือเสาอากาศที่อยู่นอกบ้าน และกระแสไฟจากฟ้าผ่าจะวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ทำให้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ได้รับความเสียหาย รวมถึงยังส่งผลให้ผู้ใช้งานได้รับอันตราย

     6. ถอดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าออกให้หมด เพราะฟ้าอาจผ่าลงที่เสาไฟฟ้าหรือสายไฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟ้ากระชาก เครื่องใช้ไฟฟ้าจึงอาจเสียได้ และควรดึงเสาอากาศของโทรทัศน์ออก เพราะหากฟ้าผ่าที่เสาอากาศบนหลังคาบ้าน อาจวิ่งเข้าสู่โทรทัศน์ได้

     7. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับโลหะทุกชนิด เนื่องจากโลหะเป็นตัวนำไฟฟ้า และอย่าอยู่ใกล้สายไฟ

     8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ เพราะเป็นตัวนำไฟฟ้า

     9. ควรเตรียมไฟฉายไว้ส่องดูทาง เพราะอาจเกิดไฟดับหรือไฟไหม้ได้ แต่ไม่ควรใช้เทียนไขในบ้าน เพราะอาจเสี่ยงต่อไฟไหม้



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
          กระปุก