ชาวบ้านอีสานแจ้งจับหนุ่มโกงเงินลงทุนขายน้ำองุ่นร่วม3ล้าน

ชาวบ้านร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียงรวม 16 คน ขึ้นโรงพักแจ้งความเอาผิดหนุ่มใหญ่อ้างเป็นหุ้นบริษัทต่างชาติ ชักชวนลงทุนขายน้ำองุ่น รายได้-ปันผลดี จนมีคนหลงเชื่อควักเงินรวม 3 ล้านกว่าบาทร่วมหุ้น สุดท้ายอ้างปิดกิจการ จึงรู้ว่าถูกหลอกแถมโดนขู่จะฟ้องกลับ วอนตร.จับกุมโดยเร็ว และยังมีเหยื่ออีกหลายราย...
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. น.ส.ธัญณิชา จันทร์ส่อง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 312 / 382 ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร พร้อมด้วยนายสมเลิศ ชูชมพล อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129 หมู่ 1 ต.โพธิ์สัย อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด และชาวบ้านหลายอำเภอ ในจ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และยโสธร รวม 16 คน เข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.บรรเจิด ชมภูพฤกษ์ พงส.ชำนาญการพิเศษ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ว่า เมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้วนายไพโรจน์ หมื่นวัย อายุประมาณ 42 ปี บ้านอยู่ จ.ขอนแก่น อ้างว่าเคยเป็นครู และเป็นพนักงานธนาคาร ได้ชักชวนร่วมลงทุนกับบริษัทสหรัฐฯขายน้ำองุ่น ซึ่งเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพจากประเทศฝรั่งเศส มาขายในไทย ผ่านศูนย์จำหน่ายในจังหวัดต่างๆ โดยอ้างว่าบริษัทสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ มีการประกันรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท และปันผลกำไรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 ต่อเดือน ทำให้หลงเชื่อจึงพากันร่วมหุ้นคนละไม่ต่ำกว่า 150,000 บาท โดยเฉพาะน.ส.ธัญณิชา ลงทุนเป็นเงิน 1,850,000 บาท และนายสมเลิศ ลงทุนกว่า 720,900 บาท ซึ่งรวม 16 คนเป็นเงินจำนวน 3,115,725 บาท โดยน้ำองุ่นไม่สามารถขายได้ จนบางคนต้องปิดกิจการไป
ต่อมาเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา นายไพโรจน์ อ้างว่าบริษัทที่ร่วมทุนปิดกิจการ จึงไปร่วมหุ้นกับบริษัทใหม่ ดังนั้นชาวบ้านที่เข้าร่วมหุ้นจึงต้องการเงินคืน แต่ได้รับคำตอบหากอยากได้เงินคืนให้ลงหุ้นกับบริษัทใหม่ โดยต้องจ่ายค่าสมัครคนละกว่า 200,000 บาท ต่อมาเห็นความผิดปกติ จึงไปตามหาบริษัทใหม่ ที่มีการกล่าวอ้างในกทม. โดยพบว่ามีอยู่จริง แต่เจ้าของบริษัทยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของนายไพโรจน์ จึงพากันมาแจ้งความดำเนินคดีกับนายไพโรจน์ ในข้อกล่าวหาฉ้อโกงทรัพย์ และยังทราบว่ามีชาวบ้านจ.บุรีรัมย์ จำนวนมากเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.บุรีรัมย์ ให้ดำเนินคดีกับนายไพโรจน์เช่นเดียวกัน
ด้าน นายสมเลิศ ระบุว่าก่อนมาแจ้งความ ได้มีคนโทรศัพท์มาบอกว่า หากชาวบ้านเอาเรื่อง ขอให้ดำเนินการให้ถึงที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้นายไพโรจน์ จะแจ้งความกลับเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าแจ้งความทั้งหมด
ส่วน นางกรัณญาพร จันทร์ส่อง อายุ 50 ปี มารดาน.ส.ธัญณิชา กล่าวว่า ขณะนี้ครอบครัวของตนเดือดร้อนมาก เพราะได้นำเอาน.ส.3 ไปจำนำ และเอาทองคำรูปพรรณไปขาย พร้อมกับเงินที่สะสมมาด้วยความยากลำบาก รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 1,250,000 บาท มอบให้ลูกสาวไปเข้าหุ้นกับนายไพโรจน์แล้วถูกฉ้อโกงไป จึงวิงวอนให้ตำรวจจับกุมนายไพโรจน์มาดำเนินคดีโดยเร็ว และยังมีชาวบ้านที่ถูกหลอกอีกหลายสิบรายที่จะมาแจ้งความเพิ่มเติม
ขณะที่ พ.ต.ท.บรรเจิด กล่าวว่า ได้รับแจ้งความเอาไว้แล้ว ต่อจากนี้ไปตำรวจจะสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเห็นว่าผู้ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษกระทำความผิด ตำรวจจะออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป.
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. น.ส.ธัญณิชา จันทร์ส่อง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 312 / 382 ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร พร้อมด้วยนายสมเลิศ ชูชมพล อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129 หมู่ 1 ต.โพธิ์สัย อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด และชาวบ้านหลายอำเภอ ในจ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และยโสธร รวม 16 คน เข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.บรรเจิด ชมภูพฤกษ์ พงส.ชำนาญการพิเศษ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ว่า เมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้วนายไพโรจน์ หมื่นวัย อายุประมาณ 42 ปี บ้านอยู่ จ.ขอนแก่น อ้างว่าเคยเป็นครู และเป็นพนักงานธนาคาร ได้ชักชวนร่วมลงทุนกับบริษัทสหรัฐฯขายน้ำองุ่น ซึ่งเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพจากประเทศฝรั่งเศส มาขายในไทย ผ่านศูนย์จำหน่ายในจังหวัดต่างๆ โดยอ้างว่าบริษัทสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ มีการประกันรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท และปันผลกำไรไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 ต่อเดือน ทำให้หลงเชื่อจึงพากันร่วมหุ้นคนละไม่ต่ำกว่า 150,000 บาท โดยเฉพาะน.ส.ธัญณิชา ลงทุนเป็นเงิน 1,850,000 บาท และนายสมเลิศ ลงทุนกว่า 720,900 บาท ซึ่งรวม 16 คนเป็นเงินจำนวน 3,115,725 บาท โดยน้ำองุ่นไม่สามารถขายได้ จนบางคนต้องปิดกิจการไป
ต่อมาเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา นายไพโรจน์ อ้างว่าบริษัทที่ร่วมทุนปิดกิจการ จึงไปร่วมหุ้นกับบริษัทใหม่ ดังนั้นชาวบ้านที่เข้าร่วมหุ้นจึงต้องการเงินคืน แต่ได้รับคำตอบหากอยากได้เงินคืนให้ลงหุ้นกับบริษัทใหม่ โดยต้องจ่ายค่าสมัครคนละกว่า 200,000 บาท ต่อมาเห็นความผิดปกติ จึงไปตามหาบริษัทใหม่ ที่มีการกล่าวอ้างในกทม. โดยพบว่ามีอยู่จริง แต่เจ้าของบริษัทยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของนายไพโรจน์ จึงพากันมาแจ้งความดำเนินคดีกับนายไพโรจน์ ในข้อกล่าวหาฉ้อโกงทรัพย์ และยังทราบว่ามีชาวบ้านจ.บุรีรัมย์ จำนวนมากเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.บุรีรัมย์ ให้ดำเนินคดีกับนายไพโรจน์เช่นเดียวกัน
ด้าน นายสมเลิศ ระบุว่าก่อนมาแจ้งความ ได้มีคนโทรศัพท์มาบอกว่า หากชาวบ้านเอาเรื่อง ขอให้ดำเนินการให้ถึงที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้นายไพโรจน์ จะแจ้งความกลับเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าแจ้งความทั้งหมด
ส่วน นางกรัณญาพร จันทร์ส่อง อายุ 50 ปี มารดาน.ส.ธัญณิชา กล่าวว่า ขณะนี้ครอบครัวของตนเดือดร้อนมาก เพราะได้นำเอาน.ส.3 ไปจำนำ และเอาทองคำรูปพรรณไปขาย พร้อมกับเงินที่สะสมมาด้วยความยากลำบาก รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 1,250,000 บาท มอบให้ลูกสาวไปเข้าหุ้นกับนายไพโรจน์แล้วถูกฉ้อโกงไป จึงวิงวอนให้ตำรวจจับกุมนายไพโรจน์มาดำเนินคดีโดยเร็ว และยังมีชาวบ้านที่ถูกหลอกอีกหลายสิบรายที่จะมาแจ้งความเพิ่มเติม
ขณะที่ พ.ต.ท.บรรเจิด กล่าวว่า ได้รับแจ้งความเอาไว้แล้ว ต่อจากนี้ไปตำรวจจะสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเห็นว่าผู้ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษกระทำความผิด ตำรวจจะออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น